วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เอนไซม์กับระบบภูมิคุ้มกันโรค


Journal of Longevity Research Vol.1/No.5 ค.ศ.1995 Dr. Anthony Lopez ได้เขียนบทความเสนอแนะว่า การใช้เอนไซม์เสริมในอาหารจะให้ประโยชน์กับสุขภาพ มีความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เพราะเอนไซม์เป็นตัวหลักของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต้องมีในทุกเซลล์เพื่อซ่อมแซม รักษาการที่กล่าวว่า เอนไซม์เป็นหลักของระบบต้านทานโรค ต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น ซูเปอร์ออกไซด์ ดีสมิวเตส (Superoxide Dismutase),กลูตาธิโอน เปอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidase), คาทาเลส (Catalase)ฯลฯ คอยทำหน้าที่เสาะหาและทำลายอนุมูลอิสระ (Free Radical) ซึ่งเป็นตัวป่วนที่ทำลายให้เซลล์เสื่อม โดยเฉพาะไปโจมตีบริเวณผนังเยื่อหุ้มเซลล์ และดีเอนเอ (DNA) ซึ่งอยู่ภายในเซลล์ให้ผิดเพี้ยนไปจนอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้จากวารสารการวิจัยฉบับหนึ่ง (Journal of Longevity Research 1996 Vol.2/No.3) Dr.James Privitera ได้รายงานถึงการใช้เอนไซม์บำบัดว่าได้ผลดีในการรักษาบาดแผล เอนไซม์จะกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้แผลหายเร็ว และเอนไซม์ยังทำให้รอยแผลเป็น (Scar) เกิดน้อยมากอีกด้วย ดร.ไพรวิเทอรา เขียนสรุปไว้ว่า เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือมีบาดแผล การใช้เอนไซม์เสริมร่วมด้วยจะเป็นวิธีที่ดีในการรักษา เพราะเอนไซม์จะเร่งการหายของแผลและการบาดเจ็บ

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เอนไซม์กับโรคอ้วน



• เอนไซม์ไลเปส (Lipase) มีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมัน เป็นเอนไซม์ที่สำคัญ ควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ Dr.Galton, Tufts University ได้สรุปยืนยันว่า “คนอ้วนมากเพราะร่างกายขาดเอนไซม์ไลเปส” ไขมันย่อยยากที่สุด
• การกินเอนไซม์เสริมหรือ การกินอาหารสดที่อุดมด้วยเอนไซม์ ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยของตับอ่อนที่ไม่ต้องเร่งผลิตเอนไซม์ไลเปส จนบางครั้งตับอ่อนจะบวมโตกว่าปกติเพราะต้องทำงานหนักเกินไป ตับอ่อน (Pancreas) และตับ (Liver)
• เอนไซม์ไลเปสช่วยคุมน้ำหนักอีกด้วย ควบคุมไขมันชนิดโคเลสเตอรอล (Cholesterol)และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ทำให้สารอาหารทั้ง 2 ซึ่งไหลเวียนในเลือดมีปริมาณลดลงจึงไม่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (Atherosclerosis) อันเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจ (Heart Disease)หรือ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เอนไซม์กับระบบไหลเวียนของโลหิต



• Dr. Max Wolf ชาวเยอรมัน Fordham Universityได้รายงานผลการทดลองใช้เอนไซม์กับคนไข้ 347 คน ที่เจ็บป่วยกับระบบไหลเวียนของโลหิต (Circulatory Disorder) พบว่า ร้อยละ 87 ของผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติหายสนิท หรือดีขึ้นมากภายหลังกินเอนไซม์เสริม
• ดร.วูฟ กับ ดร.คาล แรส เบอเกอร์ (Dr. Karl Ransberger) ยังได้ทดลองใช้เอนไซม์รักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็ง โรคจากการติดเชื้อไวรัส และโรคแห่งความเสื่อมของระบบประสาท (Multiple Sclerosis) รายงานไว้ว่าได้ผลดี (Successfully Treat)
• Dr. H. Dench แพทย์ชาวออสเตรีย ได้ใช้เอนไซม์รักษาคนไข้ที่มีเลือดจับเป็นก้อน (Blood Clot) พบว่า ร้อยละ 93 ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
• Dr. Karl Maehder ชาวเยอรมันรายงานผลการรักษาคนไข้ 218 คนที่เป็นโรคเส้นโลหิตดำขอด อักเสบและบวม (Varicose Vein Disorder) โดยให้คนไข้กินเอนไซม์ ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละถึง 94 ที่หายสนิทหรือดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บทความในหนังสือ U S A Weekend (2 ตุลาคม 1998) ซึ่งมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ได้พูดถึงเรื่องสาเหตุที่เอนไซม์สามารถป้องกันการผิดปกติของระบบไหลเวียนของโลหิตได้
เพราะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่ง เมื่อทำงานร่วมกับ วิตามิน บี 6 บี 12 และกรด โฟลิค (Folic Acid) สามารถจะทำลายสารเคมี ชื่อ โฮโมซิสทีน (Homocysteine) ซึ่งสารนี้อันตรายมาก เป็นตัวทำให้หลอดเลือดแดง (Arteries) พิการ แข็งตัวจากการอักเสบจนเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เกิดโรคหัวใจ (Heart Attack) และโรคลมปัจจุบัน (stroke) ตามมาได้

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ผลการศึกษาเอนไซม์กับโรคมะเร็ง

เอนไซม์กับโรคมะเร็ง
• ใน พ.ศ.2454 Dr. John Beard ได้รายงานถึงผลสำเร็จของการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ อีกประมาณ 80 ปีต่อมาคือ ใน พ.ศ.2530 Dr. Gonzalez ได้รักษาคนไข้โรคมะเร็งโดยใช้เอนไซม์บำบัด ซึ่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา (National Cancer Institute) ได้เชิญให้เสนอผลงานสรุปรักษาคนไข้ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม (Breast Cancer) และมะเร็งได้กระจายไปยังสมอง (Brain) และตับ (Liver) คนไข้ได้รับการรักษาโดยใช้เอนไซม์เป็นหลัก ปรากฎว่ามะเร็งหายไป (The Cancers went away)
• นอกจากนั้น คนไข้อีกหลายรายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทุกคนอาการดีขึ้น มะเร็งลดความรุนแรงลง (Remission) สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้มอบเงินทุนวิจัย 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ ดร.กอนซาเลซ เพื่อศึกษาและค้นคว้าการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในเชิงวิจัยเปรียบเทียบตามหลักทางสถิติต่อไป